วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วิธีเลือกของขวัญให้ถูกใจคนทั้ง12ราศี



เรามีวิธีการเลือกของขวัญให้ถูกใจคนทั้ง12ราศี แต่ก่อนอื่นคุณต้องรู้ว่าคนที่คุณจะซื้อของขวัญให้ เกิดในราศีอะไร แค่นี้เอง ถ้ารู้แล้วเรามาเริ่มที่ราศีแรกกันเลย

ราศีมังกร 22 ธันวาคม - 20 มกราคมชาวราศีมังกรเป็นคนเอาจริงเอาจังกับเรื่องงานเป็นพิเศษ ของขวัญที่น่าจะได้ใช้แน่ๆ ก็คือ ของที่เกี่ยวกับการทำงาน อย่างเช่น ออร์กาไนเซอร์ อุปกรณ์สำนักงานแบบเทรนดี้ ของตกแต่งโต๊ะทำงาน หรืออาจจะเป็นรูปของคุณเอาไปใส่กรอบ เวลาที่เค้าเครียดจากการทำงาน ก็จะได้รู้สึกผ่อนคลาย เมื่อมองมาเห็นรูปของคุณ เอ๊ะหรือว่าจะเครียดกว่าเดิมกันแน่นะเนี่ย ล้อเล่นนะคะ ลักษณะของชาวราศีมังกรอีกอย่างก็คือติดหรู ของขวัญสำหรับพวกเค้าอาจจะเป็นสินค้าแบรนด์เนมก็น่าจะถูกใจ แต่ก็หาคนลงขันด้วยแล้วกันนะคะ ซื้อคนเดียวระวังจะหน้ามืด ไม่มีเงินซื้อของขวัญให้ตัวเองล่ะแย่เลย อันนี้ต้องระวังค่ะ

ราศีกุมภ์ 21 มกราคม - 19 กุมภาพันธ์ชาวราศีกุมภ์เป็นคนที่ไม่ค่อยตรงเวลาสักเท่าไหร่ ลองซื้อนาฬิกาให้สิค่ะ ได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น นาฬิกาข้อมือ นาฬิกาแขวนฝาผนัง นาฬิกาตั้งพื้น และที่สำคัญที่ลืมไม่ได้ นาฬิกาปลุกนั่นเอง หรือถ้าใจดีและมีสตางค์ จะซื้อมือถือให้เลยก็ไม่ว่ากันค่ะ ได้ 2 เด้งเลย ให้นาฬิกาแล้วยังสามารถโทรจิกได้ด้วย คุ้มสุดๆ หรือถ้าไม่เป็นนาฬิกา ก็อาจจะเป็นอะไรก็ได้ที่มีลูกเล่น เพราะชาวราศีกุมภ์มีความเป็นนักวิทยาศาสตร์อยู่สูง ช่างสังเกต ชอบอะไรที่ต้องลงมือแกะนู่น ใส่นี่ ตัวอย่าง การประกอบโมเดล จิ๊กซอว์ หรืออะไรก็ได้ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี รับรองว่าถูกใจแน่นอนค่ะ

ราศีมีน 20 กุมภาพันธ์ - 20 มีนาคมชาวราศีมีนเป็นคนรักธรรมชาติ รักบ้าน ไม่ต้องบอกใช่ไหมคะว่าปีใหม่นี้จะซื้ออะไรให้เค้า แน่นอนต้องเป็นอุปกรณ์แต่งบ้านเก๋ๆ โมบาย โคมไฟ ตุ๊กตา แจกัน ฯลฯ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องดูสไตล์ของเค้าด้วยนะคะว่า หวานแหวว เรียบง่าย หรือหรูหรา จะได้เลือกซื้อได้ถูกใจค่ะ ต้นไม้ก็เป็นอีกอย่างที่เหมาะกับคนรักธรรมชาติอย่างชาวราศีมีน ยิ่งเป็นไม้มงคลด้วยยิ่งดี

ราศีเมษ 21 มีนาคม - 20 เมษายนชาวราศีเมษเป็นคนลุยๆ ชอบเที่ยวผจญภัยค่ะ อะไรที่ซื้อให้ก็ต้องเป็นอะไรที่ทะมัดทะแมง ถ้าเป็นเสื้อผ้าก็ต้องเป็นสีพื้น ทนๆ หน่อย จะได้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเค้า อีกอย่างที่แนะนำก็คืออุปกรณ์ในการท่องเที่ยวแนวลออฟโรด แอดเวนเจอร์ อุปกรณ์ตั้งแคมป์อันนี้ก็เข้าทางค่ะ ถ้าเป็นผู้หญิงก็อาจจะเน้นเป็นเสื้อผ้าแฟชั่นที่เท่ๆ อาจจะมีลายทหารเข้ามาผสมผสาน รับรองว่าเวิร์ก แล้วก็ไม่ต้องกลัวนะคะว่าจะใส่ยาก ดีไซเนอร์หลายคนเวลาอับจนหนทางคิดอะไรไม่ออก ก็จะเอาลายทหารเนี่ยล่ะค่ะมาสร้างสรรค์เสื้อผ้า เชื่อได้เลยว่าลายทหารไม่มีเอ๊าท์

ราศีพฤษภ 21 เมษายน - 19 พฤษภาคมชาวราศีพฤษภเป็นพวกอนุรักษ์นิยม และประหยัดเอามากๆ ฉะนั้นของขวัญควรจะเป็นของใช้ที่ใช้ได้นานๆ มีความคงทน หรือไม่ก็ของเก่า หรือของใหม่ที่ทำให้ดูเก่าๆ ขลังๆ น่าจะถูกใจชาวราศีพฤษภ หรือถ้านึกอะไรจะเป็นของกินก็ได้ไม่ว่ากัน ได้ทุกประเภทไม่เกี่ยง ขอให้อร่อยๆ หน่อย แค่นี้เป็นใช้ได้ ถ้าเป็นเสื้อผ้าก็ควรจะเป็นอะไรที่ใส่ได้นาน อย่างเช่นยีนส์ หรือเสื้อผ้า เครื่องประดับที่เรียบๆ เข้ากับเสื้อผ้าได้หลายๆ สี เรียกว่าตัวเดียวเอาไป mix & match ได้อีกหลายชุด โดนใจชาวราศีพฤษภแน่ๆ

ราศีเมถุน 20 พฤษภาคม - 21 มิถุนายนชาวราศีเมถุนเป็นคนที่ไม่ชอบความจำเจ คุณต้องพยายามนึกว่าเมื่อปีที่แล้วคุณซื้ออะไรให้เค้า ปีใหม่นี้ควรหาซื้ออะไรที่แตกต่างกันมากๆ จะได้สร้างความตื่นเต้น ในกรณีที่เพิ่งรู้จักกัน ซื้อของขวัญปีใหม่ให้เป็นครั้งแรก ควรจะหาอะไรที่ไม่เหมือนใคร ยิ่งถ้าเป็นของที่มีชิ้นเดียวในโลก อันนี้โดนใจสุดๆ แต่ก็ดูราคาด้วยแล้วกันค่ะ เดี๋ยวคนซื้อจะบาดเจ็บหนัก ของสวยๆ แฮนด์เมดที่ราคาไม่แพงมาก ที่คนทำเค้าทำมาชิ้นเดียวก็มีให้ซื้อนะคะ ของดีราคาถูกมีให้เลือกมากมาย จริงไหมคะ

ราศีกรกฎ 22 มิถุนายน - 22 กรกฎาคมชาวราศีกรกฎเป็นนักสะสมตัวยง ฉะนั้นถ้าจะซื้อของขวัญปีใหม่ก็น่าจะเป็นของสะสม เช่น แสตมป์ โมเดล ตุ๊กตา หรือถ้าไม่กลัวว่าเค้าจะไม่ชอบก็ต้องลงทุนไปส่องกันที่บ้านเลยว่าเค้าสะสมอะไรอยู่ จะได้ซื้อมาให้ถูกใจ ถ้าไม่เห็นว่าเค้าสะสมอะไรจริงจังก็อาจจะซื้อของเก่าก็ได้เพราะธรรมชาติของนักสะสมก็ต้องชอบความคลาสสิกอยู่แล้ว ของแต่งบ้านก็ไม่เลวนะคะ เพราะชาวราศีกรกฏรักบ้านเป็นชีวิตจิตใจ และด้วยความชอบยู่บ้านอีกหนึ่งอย่างที่อยากจะแนะนำก็คือหนังสือดีๆ สักเล่มก็คงเป็นของขวัญที่ถูกใจเช่นกัน

ราศีสิงห์ 23 กรกฎาคม - 23 สิงหาคมชาวราศีสิงห์มีความเป็นผู้นำสูง ของขวัญที่เหมาะน่าจะเป็นของที่มีดีไซน์ที่ดูหรูหรา แสดงออกถึงความมีสง่าราศี ถ้าจะซื้อของแต่งบ้านก็น่าจะเป็นไม้ เพราะเป็นอะไรที่ดูดีและคลาสสิกเสมอ แต่ถ้าจะซื้อต้นไม้ให้ ควรจะเป็นไม้ยืนต้นหรือไม้มงคล เพราะจะช่วยเสริมในเรื่องของการงานค่ะ อีกหนึ่งคุณสมบัติของชาวราศีสิงห์คือ มีความทะเยอทะยานในเรื่องงานสูง ฉะนั้นของขวัญอีกอย่างที่น่าจะตรงใจก็คือ อุปกรณ์บนโต๊ะทำงาน ต้องเลือกแบบที่เรียบและดูดี หรือจะเป็นอุปกรณ์คลายเครียดต่างๆ ก็โอเคนะคะ อาทิเครื่องนวด, ดีวีดี, วีซีดีหนังดีๆ สักเรื่อง หรือซีดีเพลงเพราะๆ สักแผ่น

ราศีกันย์ 24 สิงหาคม - 23 กันยายนชาวราศีกันย์เป็นคนรักสวยรักงาม ของขวัญที่น่าถูกใจก็คงหนีไม่พ้นของสวยๆ งามๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าและเครื่องประดับ หรือจะเป็นเรื่องของการดูแลหน้าตาและผิวพรรณ อาทิเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว อุปกรณ์การทำสปา สมุนไพรขัดผิว เป็นต้น อีกอย่างที่ลืมไม่ได้สำหรับคนรักสวยรักงามอย่างชาวราศีกันย์ก็ต้องน้ำหอม อันนี้ซื้อให้ได้ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง แต่ถ้าไม่แน่ใจเรามีวิธีเลือกน้ำหอมให้เหมาะกับคนแต่ละราศีมาบอกด้วย คลิกที่นี่ หรือถ้าจะให้ชัวร์กว่าก็ชวนกันไปเดินเล่นแถวๆ เคาน์เตอร์น้ำหอม ลองชวนดมกลิ่นนั้น ขวดนี้ เดี๋ยวก็รู้คำตอบเองค่ะ

ราศีตุลย์ 24 กันยายน - 23 ตุลาคมชาวราศีตุลย์เป็นคนน่ารัก ช่างเจรจา ของขวัญที่ต้องถูกใจแน่นอนก็คือ ของน่ารักๆ ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตา อุปกรณ์แต่งรถ หรืออะไรก็ได้ที่เป็นลายการ์ตูน แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่หน่อยก็ให้เลี่ยงลายการ์ตูนมาเป็นของที่มีสีพาสเทลก็ได้ อย่างสีฟ้า สีชมพูค่ะ อุปกรณ์ตกแต่งมือถือก็เป็นอีกอย่างที่น่าจะเหมาะกับคนพูดเก่ง อย่างชาวราศีตุลย์ เพราะพวกเค้าจะใช้โทรศัพท์บ่อย ถ้าซื้อไปให้ รับรองว่าต้องได้ใช้แน่ๆ เลือกแบบที่น่ารักๆ เข้าไว้ค่ะ

ราศีพิจิก 24 ตุลาคม - 22 พฤศจิกายนชาวราศีพิจิกเป็นคนใจร้อนอยู่สักหน่อย ลองหาอะไรก็ได้ที่จะทำให้ใจเค้าเย็นๆ สบายๆ อย่างเช่นต้นไม้ อาจจะเลือกไม้น้ำต่างๆ อย่างเช่น บัว, เฟิร์น หรือแว่นแก้ว จะพ่วงปลาตัวเล็กๆ ไปด้วยไปด้วยก็ได้ไม่ว่ากัน ถ้าเป็นของตกแต่งบ้าน ก็อาจจะเป็นภาพวาดสีน้ำที่เป็นลายธรรมชาติ น้ำตก ภูเขา ทะเล หรือจะเป็นแบบอิมเพรสชั่นนิสม์ ให้เน้นสีสบายตาเข้าไว้ อีกอย่างที่กำลังอินก็คือ หินที่นำมาร้อยเป็นสร้อยคอ สร้อยข้อมือ หรือเอามาทำเป็นแหวน ลองหาหินที่ทำให้อยู่เย็นเป็นสุข หรือจิตใจเยือกเย็น จะได้ช่วยให้เค้าใจเย็นขึ้นค่ะ

ราศีธนู 23 พฤศจิกายน - 21 ธันวาคมชาวราศีธนูเป็นคนสนุกสนาน ชอบความบันเทิงทุกรูปแบบ เป็นราศีที่เลือกของขวัญให้ได้ง่ายที่สุดก็ว่าได้ อะไรก็ได้ที่ทำให้เพลิดเพลิน ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ เพลง หนัง หรือจะเป็นของกินอร่อยๆ หรือจะจัดเซอร์ปาร์ตั้ให้อันนี้ก็เวิร์ก แต่ต้องเซอร์ไพรส์จริงๆ นะคะ เพราะชาวราศีธนูทำให้เซอร์ไพร้ส์ได้ยากค่ะ เหมือนเค้าจะมีเซ้นซ์อะไรประมาณนั้น อีกอย่างก็คือชาวราศีธนูเป็นคนรักสัตว์ แต่ถ้าคิดจะซื้อล่ะก็ ต้องหาข้อมูลดีๆ ว่าเค้าชอบสัตว์ประเภทไหน พันธุ์อะไร แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ต้องมีเวลาดูแลสัตว์เลี้ยงนะคะ ไม่งั้นล่ะจะเป็นการทำบาปเปล่าๆ ค่ะ

11ขั้นตอนการเลือกซื้อของขวัญ

เวลาปีๆ หนึ่งมันช่างผ่านไปเร็วซะเหลือเกิน นี่ก็จวนเจียนใกล้ถึงวันที่ต้องหาซื้อของขวัญกันอีกแล้ว นอกจากจะวางแผนสวีทกับคนรักแล้ว หลายคนคงต้องสาละวนกับการเตรียมของขวัญให้คนพิเศษไปพร้อมๆ กันด้วย แล้วเรื่องแบบนี้สนุกเสียเมื่อไหร่ เพื่อทำชีวิตของคุณให้ยุ่งเหยิงน้อยลง เรามีวิธีเลือกซื้อของขวัญอย่างละเอียดยิบมาฝาก ขั้นตอนที่ 1 ลองลิสต์รายชื่อบุคคลที่คุณจะซื้อของขวัญหรือการ์ดให้ในวันปีใหม่ และเรียงลำดับความสำคัญ ว่าควรให้ใครก่อนหลัง ขั้นตอนที่ 2 สำรวจเงินในกระเป๋าตัวเองก่อนว่ามีงบเท่าไรที่จะซื้อของ เพราะถ้ามีงบน้อยก็ไม่ควรซื้อของมากและราคาแพงเกินไป เดี๋ยวจะไม่เหลือเงินไปเที่ยวพักผ่อน ขั้นตอนที่ 3 เสาะหาแหล่งที่จะจับจ่ายซื้อของให้ละเอียดว่าที่ไหนราคาถูกและมีของดีมีคุณภาพ อย่าคิดแต่ว่าต้องไปซื้อหาตามห้างเสมอไป ถ้านึกไม่ออกลองคลิกดูที่ เคล็ดลับนักช็อป หน้า “ แหล่งช็อปปิ้งแสนประหยัดของผู้หญิงวันนี้” ขั้นตอนที่ 4 ควรออกไปสืบราคามาก่อนว่า ของขวัญที่คุณจะซื้อราคาประมาณเท่าไร มีขายที่ไหนบ้าง และถ้าเกิดซื้อจากแหล่งต้นทุน และซื้อทีละหลายๆ ชิ้นจะถูกกว่าหรือไม่ ขั้นตอนที่ 5 คิดไว้คร่าวๆ ว่า ใครคนไหนจะเหมาะกับของแบบไหนอย่างไร เพื่อที่ว่าถึงเวลาไปช็อปปิ้งจริงๆ จะได้ไม่สับสนว่า จะซื้อของชิ้นนี้ให้คนไหนดี ขั้นตอนที่ 6 อย่างที่รู้ๆกันคือ ใกล้ถึงปีใหม่ ห้างสรรพสินค้าชอบลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ ลองเปิดดูหน้าโฆษณาตามหน้าหนังสือพิมพ์ ว่ามีห้างไหนลดราคาบ้าง จากนั้นก็ลองไปสืบราคาและคำนวณดูว่าห้างไหนถูกที่สุด และเหมาะที่คุณจะไปช็อปหาของถูกใจให้คนใกล้ชิด ขั้นตอนที่ 7 ตามปกติถ้าคุณซื้อของขวัญในห้างสรรพสินค้า ทางห้างมักจะมีบริการห่อของขวัญให้ฟรี คิดดูแล้วของบางอย่างถ้าเลือกซื้อในห้างก็คุ้มเหมือนกัน เพราะประหยัดกว่ากันตั้งแยะ ดีกว่าคุณไปจ้างเขาห่อหรือห่อเอง เพราะไหนจะค่ากระดาษค่าริบบิ้น เสียทั้งเงินและเวลา หนำซ้ำถ้าห่อไม่สวยอายเขาเปล่าๆ ขั้นตอนที่ 8 อย่าซื้อสินค้าหรือของขวัญที่เพียงแค่มองผ่านชั่ววูบ เพราะแค่วูบที่เห็นแค่สวยผ่านๆ อาจจะทำให้คุณเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ได้ ขั้นตอนที่ 9 ซื้อของอย่าลืมกฎเหล็ก ต่อรองราคาไว้เถิดจะเกิดผล เพราะเศรษฐกิจยุคนี้ทำให้คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น ร้านค้าอาจจะตั้งราคาเกินจริง เราก็ควรต่อรองเพื่อช่วยเซฟเงินในกระเป๋าตัวเอง ขั้นตอนที่ 10 แต่การซื้อของจากแหล่งอื่นๆ ที่ไม่ใช่ห้างสรรพสินค้า อาจถูกก็จริงแต่ต้องดูให้ละเอียด เพราะบางชิ้นอาจมีตำหนิและไม่มีใบประกัน ซึ่งบางเจ้าเราไม่สามรรถขอเปลี่ยนหรือคืนได้เลย ขั้นตอนที่ 11 สำหรับคนที่งบน้อยจริงๆ อาจจะลองทำการ์ดเก๋ๆ ด้วยตัวคุณเองแล้วส่งให้คนที่คุณอยากซื้อของขวัญให้หรือส่งเป็น e-card ไปก็ได้ เพราะบางครั้งของแบบนี้อาจมีค่าทางใจมากกว่าของขวัญราคาแพงซะอีก เชื่อว่าการ์ดใบเดียวไม่ยากเกินความสามารถของคุณ ที่มา http://gift.blog.mthai.com/2008/03/11/public-1

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

อาหารที่ทำให้ดูสวย

ใครที่อยากสวยด้วยการทานอาหาร วันนี้เรามีอาหารมาให้เลือกทานเพื่อความสวยมาบอก
1.กล้วย ช่วยบำรุงเส้นผม ผมร่วง ผมบาง ต้องกินกล้วย เพราะอุดมด้วยวิตามินบีซึ่งช่วยบำรุงผมและป้องกันผมร่วงได้ดี ทั้งยังเป็นแหล่งรวมของโพแทสเซียม ช่วยเรื่องระบบย่อยอาหารและลดอาการท้องผูก
2.นม ช่วยบำรุงฟันและกระดูกสารอาหารสำคัญในการสร้างกระดูกก็คือแคลเซียม ซึ่งพบได้มากในนม แถมยังเป็นแคลเซียมที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ดีกว่าแหล่งอื่นๆ
3.ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ช่วยบำรุงสายตาผลงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุว่า แอนโทไซยานิน ซึ่งเป็นสารเม็ดสีในเบอร์รี่ช่วยให้มองเห็นชัดในที่มืด หรือที่ที่มีแสงสลัวๆ ได้ชัดเจนขึ้น และช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับเลนส์ตาและเส้นเลือดฝอยในลูกตา
4.อะโวคาโด ช่วยบำรุงใบหน้าแม้เป็นผลไม้ที่มีไขมันสูง แต่เป็นกรดไขมันโอเมก้า 9 ที่มีประโยชน์ ที่สำคัญวิตามินบีและอีในอะโวคาโดสามารถช่วยบำรุงผิว ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ และปกป้องผิวจากรังสีต่างๆ ในแสงแดด
5.กะหล่ำปลี ช่วยบำรุงทรวงอก งานวิจัยของสมาคมเพื่อการวิจัยมะเร็งของสหรัฐ พบว่า ผู้หญิงโปแลนด์ที่กินกะหล่ำปลีทั้งสดและดอง อย่างน้อยสัปดาห์ละ 4 ครั้ง มีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมลดลงถึง 75%
6.พริกหยวก ช่วยบำรุงเล็บ พริกหวานหลากสีสันล้วนอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและกระตุ้นการเผาผลาญให้กับร่างกาย นอกจากนี้น้ำฉ่ำๆ จากพริกหยวกยังช่วยให้สุขภาพเล็บแข็งแรง รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากสวย หุ่นดี ควรเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์จะดีกว่า.
ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

กินบะหมี่สำเร็จรูปมากไปเสี่ยงความดัน

อาหารสำเร็จรูปอย่าง บะหมี่ กินง่ายก็จริง แต่ถ้าได้รับมากไปอาจเสี่ยงเป็นโรคความดัน เพราะจากการศึกษาของสถาบันวิจัยโภชนา มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ส่วนประกอบของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกว่า 60-70% เป็นแป้งสาลี รองลงมาคือ ไขมันในเครื่องปรุงรส 15-20 % เกลือและผงชูรสอีก 5-6% หากรับประทานมากกว่า 1 ซองหรือ 1 ถ้วยต่อวัน จะทำให้ร่างกายได้รับปริมาณโซเดียมเกินความต้องการของร่างกาย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานของไต และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง ฉะนั้น ควรเลือกซื้อบะหมี่สำเร็จรูปที่บนฉลากระบุว่า เติมสารไอโอดีน ธาตุเหล็ก และวิตามินเอ เวลารับประทานควรเติมไข่ เนื้อสัตว์ และผักลงไปทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับโซเดียมและไขมันมากเกินไป
ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

คำสั่งโปรแกรมPhotoshop

การสร้างลูกบอลไฟอีกรูปแบบหนึ่งใน Photoshop
1. สร้างไฟล์ใหม่ขึ้นมาโดยกำหนดพื้นหลังเป็นสีดำ
2. สร้าง layer ใหม่
3. ใช้ Elliptical Marquee Tool ในการวาดรูปวงกลม โดยให้กด Shift ที่แป้นพิมพ์ เพื่อทำให้วงเลมเป็นรูปสวยงาม
4. กด Filter ---> Render ---> Counds และไปที่ Filter ---> Render ---> Difference Counds
5. กด ctrl+ I เพื่อทำการเปลี่ยนสี จากนั้นกด Ctrl + L แล้วทำการย้ายตัวเลื่อนที่ตัวตามรูปไปทางด้่านขวาจากนั้นกด OK
6. กด Filter ---> Distort ---> Spherize แล้วทำการตั้งค่า option = 100% แล้วกด ctrl+F
7. กด Filter ---> Stylize ---> Find Edges แล้วกด Ctrl+I
8. กด Ctrl+U ตั้งค่าตามด้านล่างเลยโดยติ๊กที่ Colorize ด้วย
Hue: 0
Saturation: 100
9. จากนั้นคลิกขวาที่ layer แล้วเลือก Duplicate layer จากนั้นกด Ctrl+U ที่ layer ที่เราได้ทำการ copy มาแล้วตั้งค่าตามด้านล่าง อย่าลืม ติ๊กที่ Colorize ด้วย
Hue: 40
Saturation: 100
10. ในส่วนของแทบ layer ด้านบนจะมีให้กดลูกศรลงเพื่อเลือก Linear Dodge แล้วกด Ctrl + E เพื่อรวม layer ทั้งสอง
11. สร้าง layer ใหม่
12. ทำซ้ำในข้อ 4-10 เมื่อทำข้อทำเสร็จให้กดเลือก Linear Dodge แล้วจึง Crtl + E อีกรอบ
13. สร้าง layer ใหม่
14.ทำซ้ำในข้อ 4-10 เมื่อทำข้อทำเสร็จให้กดเลือก Linear Dodge แล้วจึง Crtl + E อีกรอบ
15. ให้กด Add layer style
แล้วเลือก Inner Glow กำหนดสีเป็น #FFC600 และ เลือก Outer Glow แล้วเลือกสีเป็น #FFC600 เมื่อทำการตกแต่งเสร็จแล้วจะได้รูปตามด้านล่างเลยค่ะ

ที่มา http://www.webthaidd.com/photoshop/webthaidd_article_952_.html

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การใช้งาน Facebook

วิธีสมัคร Facebook
สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนการสมัครก็คือ อีเมล์ จะเป็น Gmail, Hotmail, Yahoo! หรือ อีเมล์ใดๆ ก็ได้และ ไม่ควรนำอีเมล์สำคัญๆมาใช้ในการเล่นเฟสบุ๊คเป็นต้นว่าอีเมล์ติดต่องานหรืออีเมล์บริษัท ทั้งนี้ ก็เพราะตลอดการเล่น Facebook เราจะต้องใช้อีเมล์นี้รับข้อมูลที่ส่งมาจากบริการของ Facebook อยู่บ่อยๆถ้าเราใช้บริการเฟสบุ๊คบ่อยแค่ไหนก็ Inbox ของเราก็จะยิ่งรับข้อมูลมากขึ้นซึ่งจะทำให้เราเกิดความรำคาญได้เริ่มต้นสมัครเล่น Facebook ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. เข้าที่เว็บไซต์ http://www.facebook.com/
2. คลิกที่ ภาษาไทย (ขออนุญาตใช้งาน Facebook ในแบบภาษาไทย)
3. กรอกรายละเอียดของเรา ให้ครบทุกช่อง ถ้าเป็นไปได้ควรกรอกให้ตรงกับความเป็นจริง โดยเฉพาะ อีเมล์
4. พิมพ์ตัวอักษรที่เรามองเห็น จากนั้นให้คลิกปุ่ม ลงทะเบียน
5. จากนั้นให้เพิ่มเพื่อน ค้นหาเพื่อน กรอกข้อมูลส่วนตัว ใส่รูปภาพ เราสามารถคลิกที่ ข้าม ได้
6. จากนั้นจะปรากฏแถบข้อความแจ้งกับเราว่า ได้ส่งคำขอการยืนยันการสมัครจากทีมงาน Facebook ไปยังอีเมล์ของเรา (อีเมล์ที่กรอกตอนสมัคร) ให้เรารีบไปเช็คอีเมล์ได้เลย
7. เปิดเช็คอีเมล์ใน Inbox เราจะพบว่ามีอีเมล์มาใหม่อยู่ 2 ฉบับ ให้เราคลิกเปิดอ่านอีเมล์หัวข้อ การยืนยันชื่อเข้าใช้งาน Facebook
8. คลิกลิงค์ยืนยันการสมัครได้เลย
9. การสมัครได้รับการยืนยันแล้ว ให้คลิก ตกลง
10. กลับเข้าสู่หน้าเว็บ Facebook อีกครั้ง
11. ขั้นตอนสมัคร Facebook ก็จบแต่เพียงเท่านี้และทุกครั้งที่เล่น Facebook เสร็จแล้วก็อย่าลืม ออกจากระบบ อย่างถูกวิธี

ที่มา http://facebook.kapook.com/howto/signup.php

Facebook คืออะไร


Facebook (เฟสบุ๊ค) คือ บริการบนอินเทอร์เน็ตบริการหนึ่ง ที่จะทำให้ผู้ใช้สามารถติดต่อสื่อสารและร่วมทำกิจกรรมใดกิจกรรม หนึ่งหรือหลายๆ กิจกรรมกับผู้ใช้ Facebook คนอื่นๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งประเด็นถามตอบในเรื่องที่สนใจ, โพสต์รูปภาพ , โพสต์คลิปวิดีโอ, เขียนบทความหรือบล็อก, แชทคุยกันแบบสดๆ , เล่นเกมส์แบบเป็นกลุ่ม (เป็นที่นิยมกันอย่างมาก) และยังสามารถทำกิจกรรมอื่นๆ ผ่านแอพลิเคชั่นเสริม (Applications) ที่มีอยู่อย่างมากมาย ซึ่งแอพลิเคชั่นดังกล่าวได้ถูกพัฒนาเข้ามาเพิ่ม เติมอยู่เรื่อยๆ จนเรียกได้ว่าเลือกใช้กันทั้งปีก็ไม่หมด
ที่น่าสนใจที่สุดก็คือ Facebook ยังเปิดโอกาสให้เราได้พบปะสังสรรค์กับเพื่อนๆ ทั้งเพื่อนซี้เพื่อนเก่าก๊วนรัก เพื่อนร่วมชั้นเรียน เพื่อนร่วมชมรม เพื่อนของเพื่อนของเพื่อน เพื่อนเราคนบ้านเดียวกัน และไม่นานนักเราก็จะได้พบกับเพื่อนใหม่ที่ถูกใจจริงๆ

วันพุธที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

E-mail

E-mailของนักเรียนชั้นม.3/1

1.totsapon_301@hotmail.com

2.para_pan@hotmail.co.th

3.poa-ton-145@hotmail.com

4.tewwijai@hotmail.com

5.sakdanai301@hotmail.co.th

6.sakon_@hotmail.com

7.mc_anon@hotmail.co.th

8.one_pongsakorn@hotmail.com

9.kritchaya1@hotmail.com

10.keerati_fern@hotmail.com

11.haojariya@hotmail.com

12.jidarat_mm@hotmail.com

13.jen_panpoka@hotmail.co.th

14.kanan00@hotmail.com

15.chamai_ponn@hotmail.com

16.noonnik@hotmail.com

17.nutjare301@hotmail.co.th

18.pui_wecha@hotmail.co.th

19.piyatida_oom@hotmail.com

20.ung-ing_ohh@hotmail.co.th

21.pattara-gom@hotmail.com

22.maliwan201083@hotmail.com

23.wiwis-sirilak@hotmail.com

24.suwanan_nat@hotmail.com

25.sunisa301@hotmail.com

26.seewalak_dao@hotmail.co.th

27.plawarn_araya_@hotmail.com

28.areerak_joy@hotmail.com

29.nan_raning@hotmail.com

30.kwang-mu@hotmail.com

31.mee.nik@hotmail.com

32.fluk_lion32@hotmail.com

33.pao_joy@hotmail.com

34.ja_love_zee@hotmail.co.th

35.dung_tape@hotmail.co.th

36.supa_jan@hotmail.co.th

37.suwimon301@hotmail.co.th

38.eve_30101@hotmail.co.th

39.im_lux@hotmail.co.th

40.lamai_indy@hotmail.com

41.nontawat_muk@hotmail.com

การใช้งานบล็อก

การสมัคร
ไปที่ http://www.blogger.com/
คลิกที่ >>> สร้างเว็บบล็อกของท่านเดี๋ยวนี้
ให้ใส่รายละเอียดดังนี้ที่อยู่อีเมล ใส่ E-mail ที่ได้สมัครไว้จากบทเรียนที่แล้วEnter Password ใส่รหัสผ่านพิมพ์รหัสผ่านอีกครั้ง ใส่รหัสผ่านอีกครั้งให้เหมือนกันDisplay name ตั้งชื่อที่จะให้แสดงตอนโพสเว็บบล็อกการรับรองความถูกต้องของคำ พิมพ์ตามอักษรที่ปรากฎให้ถูกต้องAcceptance for Terms ติ๊กให้มีเครื่องหมายถูกคลิก >> ดำเนินต่อไป
จากนั้นให้ ตั้งชื่อเว็บบล็อกของท่าน ตัวอย่างด้านล่างชื่อเว็บบล็อก ให้ตั้งชื่อเว็บบล็อกที่ต้องการที่อยู่เว็บบล็อก ใส่ที่อยู่เว็บบล็อกตามต้องการจากนั้นคลิก >>> ตรวจสอบความพร้อมใช้งานเพื่อตรวจเช็คดีว่ามีคนใช้แล้วหรือยังจากนั้นคลิก >>> ดำเนินต่อไป
จากนั้นจะเข้าสู่การเลือกแม่แบบว่า เราต้องการเว็บบล็อกรูปแบบไหน มีให้เลือกมากมายตามต้องการเมื่อ คลิกเลือกแม่แบบได้ตามต้องการแล้ว คลิกที่ >>> ดำเนินต่อไป
เพียงแค่นี้ คุณก็สามารถมีเว็บบล็อกเป็นของตัวเอง
การใช้งาน
เข้าไปที่ http://www.blogger.com/ให้เราพิมพ์ E-mail ที่เราได้สมัครไว้ที่รหัสผู้ใช้ [xxxxxxxxx@example.com]-รหัสผ่าน [xxxxxxxxxxxx]จากนั้นคลิกที่ลงชื่อผู้ใช้งานจะปรากฎหน้าต่างด้านล่าง ให้คลิกที่ บทความใหม่จากนั้นให้เราคลิกที่ เริ่มต้นส่งบทความจะปรากฎหน้าต่างด้านล่างซึ่งจะให้เราใส่ข้อความ / รูปภาพ ตามความต้องการโดยการคลิกที่ สร้าง-ชื่อเรื่อง (คือหัวข้อเรื่องที่เราต้องการ)-และมีพื้นที่สำหรับการใส่ข้อความ, รูปภาพเป็นต้น
ที่มาhttp://earningsadsense.blogspot.com/

วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ส่วนประกอบของบล็อก

ส่วนประกอบที่สำคัญของ Blog
1. ชื่อบล็อก (ฺBlog Title) - ชื่อ Blog นั้น ๆ
2. แท็กไลน์ (Subtitle หรือ Tag line) - คำจำกัดความของเว็บ หรือสโลแกนที่ใช้อธิบายถึงตัวบล็อกโดยรวม โดยตัวแท็กไลน์นี้ จะมีหรือไม่มีก็ได้ เพราะมันไม่สำคัญเท่ากับชื่อบล็อก
3. วันที่และเวลา (Date & Time Stamp) - เป็นวันที่และบางทีอาจมีเวลากำกับอยู่ด้วย ตัววันที่และเวลานี้ จะเป็นตัวบอกว่าบทความในบล็อกนั้นเขียนขึ้นมาเมื่อไหร่ บางครั้งอาจมีวันที่ระบุอยู่ในส่วนของ comment ด้วย ซึ่งจะเป็นการบ่งบอกว่า comment นั้นเขียนเข้ามาเมื่อไหร่เช่นกัน
4. ชื่อบทความ (Entry Title) – ชื่อเรื่องของบทความที่เขียนในบล็อก
5. ตัวเนื้อหาบทความ (Entry’s Main Body) - อาจเป็นตัวหนังสือ หรืออาจเป็นรูปภาพ วีดีโอ หรือ อนิเมชั่น เป็นต้น โดยส่วนประกอบเหล่านี้จะรวมเป็นส่วนเนื้อหาของบทความ
6. ชื่อผู้เขียน (Blog Author) - บางบล็อก อาจมีการระบุชื่อผู้เขียนไว้ในบล็อกด้วย โดยตำแหน่งที่จะใส่ชื่อผู้เขียนนั้น สามารถไว้ที่ตำแหน่งใดก็ได้ เช่นด้านข้างของหน้าบล็อก (sidebar) หรืออยู่ในตัวบทความ
7. คอมเม้นต์ (Comment tag) - เป็นลิงค์ที่ให้ผู้อ่านคลิกไปเพื่อกรอกคอมเม้นต์ให้กับบล็อกนั้น ๆ หรืออ่านคอมเม้นต์ที่มีคนเขียนคอมเม้นต์เข้ามา
8. ลิงค์ถาวร (Permalink) - เพอร์มาลิ้งค์ ลิงค์ตัวนี้คือลิงค์ที่ไปหา url ของบทความนั้น ๆ โดยตรง มีประโยชน์สำหรับ blogger คนอื่น ๆ ที่อยากจะทำลิงค์หาบทความของเราโดยตรง ก็จะสามารถหา permalink ได้ โดย url ของ permalink นี้จะไม่เปลี่ยนไปตามวันและเวลาเหมือน link ของหน้าแรกของบล็อกที่บทความจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ
9. ปฎิทิน (Calendar) - บล็อกบางแห่งอาจมีปฎิทินอยู่ด้วย โดยในปฎิทินนั้นสามารถคลิกตามวันที่ เพื่ออ่านบทความของวันที่นั้น ๆ ได้
10. บทความย้อนหลัง (Archives) - บทความเก่า หรือบทความย้อนหลัง อาจมีการจัดเตรียมไว้โดยเจ้าของบล็อก โดยบล็อกแต่ละแห่งอาจจัดเรียงบทความย้อนหลังไม่เหมือนกัน เช่นจัดเรียงรายเดือน รายสัปดาห์ รายวัน หรือจะ list บทความทั้งหมดออกมาเลยก็ได้
11. ลิงค์ไปยังเว็บอื่น (Links) - เป็นจุดเด่นและความสนุกของบล็อกอีกอย่างหนึ่ง โดยบล็อกแต่ละแห่ง อาจมีลิงค์ไปยังเว็บอื่นหลากหลายเว็บ บางครั้งเราสามารถเรียก link พวกนี้ว่า blogroll
12. RSS หรือ XML - ตัว RSS นี้อาจมีเตรียมไว้ให้เราโดยอัตโนมัติขึ้นอยู่กับ Blogware หรือ Blog Host ที่เราเลือกใช้ เช่น WordPress หรือ MovableType นั้นจะมี RSS ลิงค์ไว้ให้เราโดยอัตโนมัติ โดยเจ้า RSS Feed นี้จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าถึงบทความของเราได้ง่ายขึ้น โดยการใช้โปรแกรมช่วยอ่าน Feed ได้ด้วย บางครั้งนักเขียน Blog คนอื่น ก็อาจใช้ RSS Feed นี้เพื่อประโยชน์ในการดึงข้อมูลไปแสดงในเว็บ หรือบล็อกของตนได้
ที่มาhttp://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=tuck&month=01-2008&date=24&group=5&gblog=1

ความเป็นมาของบล็อก

Web Log ซึ่งเป็นคำที่คิดขึ้นโดย โจร์น บาร์เกอร์ ในปี ค.ศ.1997 และต่อจากนั้นอีก 2 ปีต่อมา ปีเตอร์ เมอร์โฮลซ์ ซึ่งสร้าง Blog ของตนเอง แล้วตั้งชื่อว่า Blog ทำให้คำว่า Web log ถูกย่อให้เหลือแค่เพียง Blog และกลายเป็นคำฮิตติดปาก ตั้งแต่นั้นมาแต่การเปลี่ยนไอเดียจากกระดานข่าวสู่ Blog นั้น ยังไม่ถือว่าเป็นการประยุกต์ไอเดียเล็ก ๆ มาสร้างธุรกิจใหม่ได้เลยหากไม่มีบริษัทเล็ก ๆ ผู้ให้บริการจัดทำเว็บไซต์ และมี Blog เป็นของตนเอง พวกเขาจึงก่อตั้งเว็บไซต์ Blogger.com ขึ้นมาและหวังว่านี่จะเป็นเว็บไซต์ที่ทำเงินได้ ซึ่งสุดท้าย ฝันก็เป็นจริง เมื่อวันหนึ่งเว็บ Blogger.com ของพวกเขาได้รับคำเสนอซื้อจากยักษ์ใหญ่แห่งวงการเสิร์จเอ็นจิ้นอย่าง Google.com ด้วยมูลค่าที่ใคร ๆ คาดไม่ถึง เนื้อหาใน Blog นั้นประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1. หัวข้อ ( title) 2. เนื้อหา (Post หรือ Content) 3.วันที่เขียน ( Date )

ความหมายของบล็อก

Blog มาจากศัพท์คำว่า WeBlog บางคนอ่านคำ ๆ นี้ว่า We Blog บางคนอ่านว่า Web Log แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งสองคำบ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน ว่านั่นคือบล็อก (Blog) ความหมายของคำว่า Blog ก็คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาของ blog นั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัว หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องการเมือง เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ เป็นต้น โดยจุดเด่นที่ทำให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเอง ใส่ลงไปในบทความนั้น ๆ โดยบล็อกบางแห่ง จะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ เช่นกลุ่มเพื่อน ๆ หรือครอบครัวตนเองมีหลายครั้งที่เกิดความเข้าใจกันผิดว่า Blog เป็นได้แค่ไดอารี่ออนไลน์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไดอารี่ออนไลน์เปรียบเสมือน เนื้อหาประเภทหนึ่งของบล็อกเท่านั้น เพราะบล็อกมีเนื้อหาที่หลากหลายประเภท ตั้งแต่การบันทึกเรื่องส่วนตัวอย่างเช่นไดอารี่ หรือการบันทึกบทความที่ผู้เขียนบล็อกสนใจในด้านอื่นด้วย ที่เห็นชัดเจนคือ เนื้อหาบล็อกประเภท วิจารณ์การเมือง หรือการรีวิวผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ตัวเองเคยใช้ หรือซื้อมานั่นเอง อีกทั้งยังสามารถ แตกแขนงไปในเนื้อหาในประเภทต่าง ๆ อีกมากมาย ตามแต่ความถนัดของเจ้าของบล็อก ซึ่งมักจะเขียนบทความเรื่องที่ตนเองถนัด หรือสนใจเป็นต้น
จุดเด่นที่สุดของ Blog ก็คือ มันสามารถเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนบล็อก และผู้อ่านบล็อกที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่ชัดเจนของบล็อกนั้น ๆ ผ่านทางระบบ comment ของบล็อกนั่นเองในอดีตแรกเริ่ม คนที่เขียน Blog นั้นยังทำกันในระบบ Manual คือเขียนเว็บเองทีละหน้า แต่ในปัจจุบันนี้ มีเครื่องมือหรือซอฟท์แวร์ให้เราใช้ในการเขียน Blogได้มากมาย เช่น WordPress, Movable Type เป็นต้นผู้คนหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก หันมาเขียน Blog กันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่นักเรียน อาจารย์ นักเขียน ตลอดจนถึงระดับบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้น NasDaq เมื่อสองสามปีที่ผ่านมา Blog เริ่มต้นมาจาก การเขียนเป็นงานอดิเรก ของกลุ่มสื่ออิสระต่าง ๆ หลาย ๆ แห่งกลายเป็นแหล่งข่าวสำคัญ ให้กับหนังสือพิมพ์หรือสำนักข่าวชั้นนำ จวบจนกระทั่งปี 2004 คนเขียน Blog ก็ได้รับการยอมรับจากสื่อและสำนักข่าวต่าง ๆ ถึงความรวดเร็วในการให้ข้อมูล ตั้งแต่เรื่องการเมือง ไปจนกระทั่ง เรื่องราวของการประชุม ระดับชาติและจากเหตุการณ์เหล่านี้ นับได้ว่า Blog เป็นสื่อชนิดหนึ่งที่ไม่ต่างจาก วีดีโอ , สิ่งพิมพ์ , โทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งวิทยุ เราสามารถเรียกได้ว่า Blog ได้เข้ามาเป็นสื่อชนิดใหม่ ที่สำคัญอย่างแท้จริง
สรุปให้ง่าย ๆ สั้น ๆ ก็คือ Blog คือเว็บไซต์ ที่มีรูปแบบเนื้อหา เป็นเหมือนบันทึกส่วนตัวสออนไลน์ มีส่วนของการ comments และก็จะมี link ไปยังเว็บอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย

วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เส้นสิบ

เพลงเส้นสิบ
อิทาปิงคลาเป็นชื่อเส้น จำเป็นต้องรู้เส้นสุมนา กาลทารีออกสองข้างแขนขา กาลทารีออกสองข้างแขนขา สหัสรังษีคือตาซ้ายขวาทุกวารี จันทะภูสังหูซ้ายจะได้กล่าว รูทังนั้นเล่าอยู่หูขวานั่นยังไง สุขุมังของเสียหนักไหลออกไป สุขุมังของเสียหนักไหลออกไป สิขินีนี่ไงทวารเบาเขากล่าวมา ร่างกายคนเราท่านสอนว่า มีธาตุ4ขันธ์5คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบขึ้นมาเขาเรียกว่าร่างกาย ประกอบขึ้นมาเขาเรียกว่าร่างกาย อีกไม่นานต้องตายขอจงได้ทำดี มีความฮู้ ความฮู้ จากคุณครูเพิ่นสอนสั่ง เพิ่นนั่นหวังว่าสิให้ ไทยเฮานั่งฮุงเจริญ เพิ่นจั่งเอิ้นว่าครูนวดแผนไทย รุ่นอบรมซิจบไป ไฮ่ซอยไทยเฮาเด้อจ้า

วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ตารางธาตุ

ตารางธาตุ
ทุกๆสิ่งในโลกล้วนมีธาตุ (element) เป็นองค์ประกอบทั้งสิ้น ธาตุไม่สามารถแบ่งแยต่อไปได้อีก หรือทำให้เปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งใดที่เรียบง่ายได้ด้วยปฏิกิริยาเคมี ธาตุหลายชนิด เช่น ทองคำ เงิน และตะกั่ว เป็นธาตุที่รู้จักกันมานานหลายพันปี แต่ธาตุบางชนิด เช่น ดาร์มสแทดเชียม (Darmstadtium) เพิ่งมีการสังเคราะห์ขึ้นในห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีชั้นสูงเท่านั้น ในช่วงทศวรรษ 1990
ตารางธาตุเกิดขึ้นจากนักเคมีชาวไซบีเรียชื่อ ดีมีตรี เมนเดเลเยฟ (Dimitri Mendelejev) ในปีค.ศ.1869 เขาได้พยายามจัดเรียงธาตุต่างๆที่รู้จักกันในเวลานั้นออกเปนแถวในแนวตั้งเรียกว่า หมู่(Group) และแถวในแนวนอนเรียกว่า คาบ(Period) ทิ้งช่องโหว่ไว้สำหรับธาตุที่ยังไม่มีการค้นพบในเวลานั้น 111 ช่อง แต่อย่างไรก็ตามอาจมีธาตุอื่นๆที่ยังไม่ถูกค้นพบได้มากกว่านี้อีก หมู่ธาตุในตารางธาตุตามแนวตั้งจะประกอบกันเป็นวงศ์(family)ซึ่งทุกๆธาตุในวงศ์เดียวกันจะมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดและชอบทำปฏิกิริยาเคมีคล้ายๆกัน

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ข้อมูลส่วนตัว

เด็กหญิงจริยา มุ่งดี
ทุกคนเรียก ขวัญ
กำลังเรียนอยู่ ม.3โรงเรียนศรีสมเด็จพิมพ์พัฒนาวิทยา