วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2554

ตำนานนางสงกรานต์

ตามจารึกที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กล่าวตามพระบาลีฝ่ายรามัญว่า ครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเศรษฐีคนหนึ่งรวยทรัพย์แต่อาภัพบุตร ตั้งบ้านอยู่ใกล้กับนักเลงสุราที่มีบุตรสองคน วันหนึ่งนักเลงสุราต่อว่าเศรษฐีจนกระทั่งเศรษฐีน้อยใจ จึงได้บวงสรวงพระอาทิตย์ พระจันทร์ ตั้งจิตอธิษฐานอยู่กว่าสามปีก็ไร้วี่แววที่จะมีบุตร อยู่มาวันหนึ่งพอถึงช่วงที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ เศรษฐีได้พาบริวารไปยังต้นไทรริมน้ำ พอถึงก็ได้เอาข้าวสารลงล้างในน้ำเจ็ดครั้ง แล้วหุงบูชาอธิษฐานขอบุตรกับรุกขเทวดาในต้นไทรนั้น รุกขเทวดาเห็นใจเศรษฐีจึงเหาะไปเฝ้าพระอินทร์ ไม่ช้าพระอินทร์ก็มีเมตตาประทานให้เทพบุตรองค์หนึ่งนาม "ธรรมบาล" ลงไปปฏิสนธิในครรภ์ภรรยาเศรษฐี ไม่ช้าก็คลอดออกมา เศรษฐีตั้งชื่อให้กุมารน้อยนี้ว่า "ธรรมบาลกุมาร" และได้ปลูกปราสาทไว้ใต้ต้นไทรให้กุมารนี้อยู่อาศัย
ต่อมาเมื่อ ธรรมบาลกุมาร โตขึ้นก็ได้เรียนรู้ซึ่งภาษานก และเรียนไตรเภทจบเมื่ออายุได้เจ็ดขวบ เขาได้เป็นอาจารย์บอกมงคลต่าง ๆ แก่คนทั้งหลาย อยู่มาวันหนึ่ง ท้าวกบิลพรหม ได้ลงมาถามปัญหากับ ธรรมบาลกุมาร 3 ข้อ ถ้า ธรรมบาลกุมาร ตอบได้ก็จะตัดเศียรบูชา แต่ถ้าตอบไม่ได้จะตัดศีรษะ ธรรมบาลกุมาร เสีย ท้าวกบิลพรหม ถาม ธรรมบาลกุมาร ว่า ตอนเช้าศรีอยู่ที่ไหน ตอนเที่ยงศรีอยู่ที่ไหน และตอนค่ำศรีอยู่ที่ไหน ทันใดนั้น ธรรมบาลกุมาร จึงขอผัดผ่อนกับ ท้าวกบิลพรหม เป็นเวลา 7 วัน โดย ธรรมบาลกุมาร พยายามคิดค้นหาคำตอบ ล่วงเข้าวันที่ 6 ธรรมบาลกุมาร ก็ลงจากปราสาทมานอนอยู่ใต้ต้นตาล เขาคิดว่าขอตายในที่ลับยังดีกว่าไปตายด้วยอาญา ท้าวกบิลพรหม
บังเอิญบนต้นไม้มีนกอินทรี 2 ตัว ผัวเมียเกาะทำรังอยู่ นางนกอินทรีถามสามีว่าพรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารแห่งใด สามีตอบนางนกว่าเราจะไปกินศพ ธรรมบาลกุมาร ซึ่ง ท้าวกบิลพรหม จะฆ่าเสียด้วยแก้ปัญหาไม่ได้ นางนกจึงถามว่าคำถามที่ ท้าวกบิลพรหม ถามคืออะไร สามีก็เล่าให้ฟัง ซึ่งนางนกก็ไม่สามารถตอบได้ สามีจึงเฉลยว่า ตอนเช้าศรีจะอยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุก ๆ เช้า ตอนเที่ยงศรีจะอยู่ที่อก คนจึงเอาเครื่องหอมประพรมที่อก ส่วนตอนเย็นศรีจะอยู่ที่เท้า คนจึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน ธรรมบาลกุมาร ก็ได้ทราบเรื่องที่นกอินทรีคุยกันตลอด จึงจดจำไว้ ครั้นรุ่งขึ้น ท้าวกบิลพรหม ก็มาตามสัญญาที่ให้ไว้ทุกประการ ธรรมบาลกุมาร จึงนำคำตอบที่ได้ยินจากนกไปตอบกับ ท้าวกบิลพรหม ท้าวกบิลพรหม จึงตรัสเรียกธิดาทั้งเจ็ด อันเป็นบาทบาจาริกาพระอินทร์มาประชุม พร้อมกัน แล้วบอกว่าเราจะตัดเศียรบูชา ธรรมบาลกุมาร ถ้าจะตั้งไว้ยังแผ่นดินไฟก็จะไหม้โลก ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศฝนก็จะแล้ง ถ้าจะทิ้งในมหาสมุทรน้ำก็จะแห้ง จึงให้ธิดาทั้งเจ็ดนำพานมารองรับแล้วก็ตัดเศียรให้ นางทุงษะ ผู้เป็นธิดาองค์โต จากนั้น นางทุงษะ ก็อัญเชิญพระเศียร ท้าวกบิลพรหม เวียนขวารอบเขาพระสุเมรุ 60 นาที แล้วเก็บรักษาไว้ในถ้ำคันธุลี ในเขาไกรลาศ จากนั้นมาทุก ๆ 1 ปี ธิดาของ ท้าวกบิลพรหม ทั้ง 7 ก็จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาทำหน้าที่อัญเชิญพระเศียร ท้าวกบิลพรหม แห่ไปรอบ เขาพระสุเมรุ เป็นเวลา 60 นาที แล้วประดิษฐานตามเดิม โดยที่เทพธิดาทั้งเจ็ดนี้ปรากฏในวันมหาสงกรานต์เป็นประจำ จึงได้ชื่อว่า "นางสงกรานต์" ส่วน ท้าวกบิลพรหม นั้น นัยก็คือ พระอาทิตย์ เพราะกบิล หมายถึง สีแดง
ทั้งนี้ ในแต่ละปี นางสงกรานต์ แต่ละนางจะทำหน้าที่ผลัดเปลี่ยนกันตามวันมหาสงกรานต์ และจะมีนาม อาหาร อาวุธ สัตว์ที่เป็นพาหนะ ต่าง ๆ กัน ดังนี้…

ถ้าวันอาทิตย์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม ทุงษะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกทับทิม อาภรณ์แก้วปัทมราช ภักษาหารอุทุมพร (ผลมะเดื่อ) พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์ เสด็จมาบนหลังครุฑ แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันอาทิตย์ ชื่อ นางแพงศรี

ถ้าวันจันทร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม โคราคะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกปีบ อาภรณ์แก้วมุกดา ภักษาหารเตลัง (น้ำมัน) พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังพยัคฆ์ (เสือ) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันจันทร์ ชื่อ นางมโนรา

ถ้าวันอังคารเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม รากษสเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกบัวหลวง อาภรณ์แก้วโมรา ภักษาหารโลหิต พระหัตถ์ขวาทรงตรีศูล พระหัตถ์ซ้ายทรงธนู เสด็จมาบนหลังวราหะ (หมู) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันอังคาร ชื่อ นางรากษสเทวี

ถ้าวันพุธเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม มณฑาเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกจำปา อาภรณ์แก้วไพฑูรย์ ภักษาหารนมเนย พระหัตถ์ขวาทรงเข็ม พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังคัทรภะ (ลา) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันพุธ ชื่อ นางมันทะ

ถ้าวันพฤหัสบดีเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม กิริณีเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกมณฑา อาภรณ์แก้วมรกต ภักษาหารถั่วงา พระหัตถ์ขวาทรงขอช้าง พระหัตถ์ซ้ายทรงปืน เสด็จมาบนหลังคชสาร (ช้าง) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันพฤหัส ชื่อ นางัญญาเทพ

ถ้าวันศุกร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม กิมิทาเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกจงกลนี อาภรณ์แก้วบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำ พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงพิณ เสด็จมาบนหลังมหิงสา (ควาย) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันศุกร์ ชื่อ นางริญโท

ถ้าวันเสาร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม มโหธรเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกสามหาว อาภรณ์แก้วนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทรายพระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูล เสด็จมาบนหลังมยุรา (นกยูง) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันเสาร์ ชื่อ นางสามาเทวี

ที่มา:http://songkran.kapook.com/

วันสงกรานต์



วันสงกรานต์ ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย จนกระทั่งมาเปลี่ยนแปลงให้เป็นวันที่ 1 มกราคม ตามหลักสากลของนานาประเทศเมื่อปี พ.ศ.2483 แต่แม้จะกำหนดวันขึ้นปีใหม่ให้ตรงตามหลักสากลแล้ว สำหรับคนไทยเองก็ยังยึดเอาวันสงกรานต์เป็นวันที่มีความสำคัญอยู่ จริง ๆ แล้ว สงกรานต์ ไม่ได้เป็นเพียงประเพณีปีใหม่ที่เก่าแก่ของประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นประเพณีปีใหม่ของประเทศพม่า ลาว กัมพูชา รวมไปถึงชนกลุ่มน้อยชาวไตแถบเวียดนาม และมณฑลยูนนานของจีน รวมทั้งที่ประเทศศรีลังกาและทางตะวันออกของประเทศอินเดียอีกด้วย โดยคำเต็ม ๆ ของ "วันสงกรานต์" ต้องเรียกว่า "ตรุษสงกรานต์" แต่คนทั่วไปนิยมเรียกสั้น ๆ ว่า "สงกรานต์" เท่านั้น ทั้งนี้ คำว่า "ตรุษ" เป็นภาษาทมิฬ แปลว่า ตัด หรือ ขาด หมายถึง ตัดปี ขาดปี หรือสิ้นปี เพราะฉะนั้น "ตรุษ" จึงมีความหมายถึงการแสดงความยินดีที่ปีเก่าผ่านไป และมีชีวิตอยู่รอดมาตลอดปีนั่นเอง ซึ่งคนไทยในสมัยก่อนจะถือเอาเดือนเมษายนเป็นวันสิ้นปี และวันปีใหม่ จึงมีพิธีทำบุญวันตรุษ 3 วัน คือ วันแรม 14 ค่ำ เดือน 4 , วันแรม 15 ค่ำ เดือน 4 และวันขึ้น 1 ค่ำ ของเดือน 5




ส่วนคำว่า "สงกรานต์" มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า การก้าวขึ้น ย้ายขึ้น เคลื่อนย้าย ในที่นี้หมายถึงการเคลื่อนที่ของพระอาทิตย์จากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ ซึ่งจะตรงกับวันที่ 13 14 15 เมษายน โดย วันที่ 13 เมษายน เรียกว่า "วันมหาสงกรานต์" หรือ "วันสังขารล่อง" ถือเป็นวันสงกรานต์ วันที่ 14 เมษายน เรียกว่า "วันเนา" หรือ "วันเน่า" ซึ่งแปลว่า "อยู่" หมายถึงอีก 1 วันถัดจากวันมหาสงกรานต์ เป็นวันที่ดวงอาทิตย์เข้ามาอยู่ในราศีใหม่เรียบร้อยแล้ว วันที่ 15 เมษายน เป็นวันเปลี่ยนจุลศักราช เรียกว่า "วันเถลิงศก" หรือ "วันพญาวัน" ซึ่งเป็นวันสำคัญวันแรกของปีใหม่นั่นเอง อย่างไรก็ตาม ในสมัยก่อนไม่ได้กำหนดให้วันที่ 13-15 เป็นวันสงกรานต์ดังเช่นปัจจุบัน แต่ต้องใช้การคำนวณตามหลักเกณฑ์ในคัมภีร์สุริยยาตร์ ซึ่งอาจจะตรงกับวันที่ 14-16 เมษายนในบางปี แต่ปัจจุบันนี้ได้กำหนดในวันที่ 13-15 เมษายนของทุกปีเป็นวันสงกรานต์ และวันหยุดราชการ เพื่อให้ง่ายต่อการกำหนดวันประกอบพิธี สำหรับวันสงกรานต์นั้น ทราบกันดีอยู่แล้วว่า เป็นวันที่ลูกหลานจะกลับมาสรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวขอพรจากผู้ใหญ่ และแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว จึงถือเอาวันสงกรานต์เป็น "วันครอบครัว" อีกหนึ่งวันด้วย เพราะเรามักจะเห็นภาพของคนในเมืองใหญ่ ๆ ต่างพากันเดินทางกลับบ้านไปหาครอบครัวในต่างจังหวัด ทำให้การจราจรติดขัดหนาแน่น และยังมีข่าวการเกิดอุบัติเหตุมากมายในเทศกาลนี้

ขณะที่ "น้ำ" ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ถึงความชุ่มชื่นในสมัยก่อน แต่ปัจจุบันด้วยสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เรามักจะเห็นภาพวัยรุ่นลงมาเล่นน้ำ สาดน้ำใส่กัน ประกอบกับยังมีการประชาสัมพันธ์ในเชิงการท่องเที่ยวว่าเป็น "Water Festival" ทำให้คนเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า "น้ำ" เป็นเพียงประเพณีเล่นน้ำที่มีเพียงแค่ความสนุก และดับร้อนในเดือนเมษายนเท่านั้น ด้วยเหตุนี้คนรุ่นใหม่หลาย ๆ คน จึงไม่เข้าใจความหมาย และรากเหง้าของประเพณีสงกรานต์อย่างแท้จริง ซึ่งเราควรช่วยกันสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่า เทศกาลสงกรานต์ เป็นประเพณีที่มีคุณค่าอย่างมาก เพราะเป็นวันที่แสดงถึงความรัก ความสามัคคี ความกตัญญู ฯลฯ มิใช่เพียงเพื่อความสนุกสนานแต่เพียงเท่านั้น



วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ตำนาน ดอกกุหลาบ กับความหมายดี ๆ




เคยได้ยินคำเปรียบเปรยไหมที่ว่า ผู้หญิงสวยแต่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมก็เปรียบได้ดัง "ดอกกุหลาบ" เพราะดอกกุหลาบนั้น แม้จะมีรูปร่างภายนอกที่สวยงามร วมถึงกลิ่นที่หอมชวนดม แต่มันก็มีหนามแหลม หากไม่ระวังอาจโดนบาดได้ง่าย ๆ

กุหลาบนั้นมีชื่อสามัญว่า "Rose" ชื่อทางพฤกษาศาสตร์ว่า "Rosa hybrids" และมีชื่อวงศ์ว่า "Rosaceae" ขยายพันธุ์โดยการตอนกิ่ง ลักษณะของกุหลาบนั้นมีทั้งไม้พุ่มและไม้เลื้อย ลำต้นและกิ่งจะมีหนาม ส่วนดอกของกุหลาบจะมีทั้งดอกเดี่ยวและเป็นช่อ กลีบดอกมีลักษณะใหญ่ มีไม่ต่ำกว่า 5 กลีบ กุหลาบนั้นมีกลิ่นหอมชวนดม และมีหลายสี เช่น แดง ขาว เหลือง ชมพู ฯลฯ อีกทั้งยังมีหลายชนิดด้วย ซึ่งคำว่ากุหลาบนั้นมาจากคำว่า "คุล" ที่ในภาษาเปอร์เซียแปลว่า "สีแดง ดอกไม้ หรือดอกกุหลาบ" โดยในภาษาฮินดีก็มีคำว่า "คุล" แปลว่า "ดอกไม้" และคำว่า "คุลาพ" ก็หมายถึงกุหลาบอย่างที่ไทยเราเรียกกัน แต่ออกเสียงเป็น "กุหลาบ" ส่วนคำว่า "Rose" ในภาษาอังกฤษนั้นมาจากคำว่า "Rhodon" ที่แปลว่ากุหลาบในภาษากรีก โดยกุหลาบเป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกมาแต่โบราณ ว่ากันว่ากุหลาบเกิดขึ้นเมื่อ 70 ล้านปีมาแล้ว และเคยมีการค้นพบฟอสซิลของกุหลาบที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยแต่ก่อนกุหลาบนั้นเป็นกุหลาบป่าและมีรูปร่างไม่เหมือนในทุกวันนี้ แต่เนื่องจากมนุษย์ได้นำเอากุหลาบป่ามาปลูกและผสมพันธุ์จนขยายเป็นพันธุ์ต่าง ๆ มากมาย

ตามประวัติศาสตร์เล่าว่ากุหลาบป่าถูกนำมาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรดิ์ ในสมัยราชวงศ์ฮั่นราว 5,000 ปีมาแล้ว ขณะที่อียิปต์เองก็ปลูกกุหลาบเป็นไม้ดอกส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน เพราะชาวโรมันเป็นชาติที่รักดอกกุหลาบมาก แม้ว่าจะสั่งซื้อจากประเทศอียิปต์แล้วก็ตาม แต่ก็ยังลงทุนสร้างสถานที่ขนาดใหญ่สำหรับปลูกดอกกุหลาบอีกด้วย เพราะสำหรับชาวโรมันแล้วดอกกุหลาบนั้นมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวัน อีกทั้งชาวโรมันถือว่าดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรัก เป็นทั้งของขวัญ และเป็นดอกไม้สำหรับทำมาลัยต้อนรับแขก รวมถึงเป็นดอกไม้สำหรับงานฉลองต่าง ๆ แถมยังเป็นส่วนประกอบสำหรับทำขนม ทำไวน์ และยาได้อีกด้วย

และเมื่อเอ่ยถึงดอกกุหลาบแล้ว หลาย ๆ คนก็คงจะนึกถึงเรื่องความรัก เพราะกุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์ของความรักและความโรแมนติก โดยมีบางตำนานเล่าว่า ดอกกุหลาบเป็นเสมือนเครื่องหมายแทนการกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส ซึ่งเป็นเทพแห่งความงามและความรัก วีนัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อโฟรไดท์ ในตำนานเทพของกรีกได้กล่าวไว้ว่า น้ำตาของเธอหยดลงปะปนกับเลือดของ อคอนิส คนรักของเธอที่ถูกหมูป่าฆ่า เลือดและน้ำตาหยดลงสู่พื้นแล้วกลายเป็นดอกไม้สีแดงเข้มหรือดอกกุหลาบนั่นเอง แต่บางตำนานก็เล่าว่าดอกกุหลาบเกิดจากเลือดของ อโฟรไดท์ เองที่หยดลงสู่พื้น เมื่อเธอแทงตัวเองด้วยหนามแหลม แม้จะไม่มีการบันทึกอย่างชัดเจนว่าดอกกุหลาบนั้นเข้ามาเกี่ยวข้องกับบ้านเราตอนไหน แต่จากบันทึกของ ลา ลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้บันทึกไว้ว่าเห็นกุหลาบที่กรุงศรีอยุธยา และในกาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศกสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ ก็ได้มีการกล่าวถึงกุหลาบเอาไว้ และยังมีตำนานดอกกุหลาบของไทยที่เป็นบทละครพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6 เรื่อง มัทนะพาธา ในเรื่องเล่าถึงเทพธิดาองค์หนึ่งชื่อ "มัทนา" ซึ่งได้มีเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ "สุเทษณะ" ซึ่งพระองค์ทรงหลงรักเทพธิดา "มัทนา" มาก แต่นางไม่มีใจรักตอบ จึงถูกสาปให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบ จึงกลายเป็นตำนานดอกกุหลาบแต่นั้นมา โดยดอกกุหลาบนั้นสามารถสื่อความหมายได้หลายอย่าง อาทิ สีแดง สื่อความหมายถึง ความรักและความปราถนา เป็นดอกไม้ของกามเทพ คิวปิด และอีรอส เป็นสิ่งนำโชคนำความรักมาให้แก่หญิงหรือชายที่ได้รับ

สีชมพู สื่อความหมายถึง ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์

สีขาว สื่อความหมายถึง ความมีเสน่ห์ ความบริสุทธิ์ มิตรภาพ และความสงบเงียบ และนำโชคมาให้แก่หญิงหรือชายเช่นเดียวกับกุหลาบแดง

สีเหลือง สื่อความหมายถึง เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอนะ

สีขาวและแดง สื่อความหมายถึง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

สีส้ม สื่อความหมายถึง ฉันรักเธอเหมือนเดิม จำนวนกุหลาบสื่อความหมาย

1 ดอก รักแรกพบ

2 ดอก แสดงความรู้สึกที่ดีให้กัน

3 ดอก ฉันรักเธอ

7 ดอก คุณทำให้ฉันหลงเสน่ห์

9 ดอก เราสองคนจะรักกันตลอดไป

10 ดอก คุณเป็นคนที่ดีเลิศ

11 ดอก คุณเป็นสมบัติชิ้นที่มีค่าชิ้นเดียวของฉัน

12 ดอก ขอให้เธอเป็นคู่ของฉันเพียงคนเดียว

13 ดอก เพื่อนแท้เสมอ

15 ดอก ฉันรู้สึกเสียใจจริงๆ

20 ดอก ฉันมีความจริงใจต่อเธอ

21 ดอก ชีวิตินี้ฉันมอบเพื่อเธอ

36 ดอก ฉันยังจำความหลังอันแสนหวาน

40 ดอก ความรักของฉันเป็นรักแท้

99 ดอก ฉันรักเธอจนวันตาย

100 ดอก ฉันอุทิศชีวิตนี้เพื่อเธอ

101 ดอก ฉันมีคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น

108 ดอก คุณจะแต่งงานกับฉันไหม

999 ดอก ฉันจะรักคุณจนวินาทีสุดท้าย

ความหมายอื่น

กุหลาบแดงเข้ม (สีเหมือนไวน์แดง) "เธอช่างมีเสน่ห์งามเหลือเกิน"

กุหลาบตูมสีแดง "ฉันเริ่มรักเธอแล้วจ้ะ"

กุหลาบบานสีแดง "ฉันรักเธอเข้าแล้ว"

กุหลาบสีแดงที่โรยแล้ว "ความรักของเรานั้นจบลงแล้ว"

กุหลาบตูมสีขาว "เธอช่างไร้เดียงสาน่าทะนุถนอมเหลือเกิน ฉันรักเธอ"

กุหลาบสีขาวที่โรยแล้ว "เสน่ห์ของเธอมันเริ่มลดน้อยถอยลงแล้วนะจ๊ะ"

กุหลาบตูม สื่อความหมายถึง ความงามและความเยาว์วัย


วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วิธีเลือกของขวัญให้ถูกใจคนทั้ง12ราศี



เรามีวิธีการเลือกของขวัญให้ถูกใจคนทั้ง12ราศี แต่ก่อนอื่นคุณต้องรู้ว่าคนที่คุณจะซื้อของขวัญให้ เกิดในราศีอะไร แค่นี้เอง ถ้ารู้แล้วเรามาเริ่มที่ราศีแรกกันเลย

ราศีมังกร 22 ธันวาคม - 20 มกราคมชาวราศีมังกรเป็นคนเอาจริงเอาจังกับเรื่องงานเป็นพิเศษ ของขวัญที่น่าจะได้ใช้แน่ๆ ก็คือ ของที่เกี่ยวกับการทำงาน อย่างเช่น ออร์กาไนเซอร์ อุปกรณ์สำนักงานแบบเทรนดี้ ของตกแต่งโต๊ะทำงาน หรืออาจจะเป็นรูปของคุณเอาไปใส่กรอบ เวลาที่เค้าเครียดจากการทำงาน ก็จะได้รู้สึกผ่อนคลาย เมื่อมองมาเห็นรูปของคุณ เอ๊ะหรือว่าจะเครียดกว่าเดิมกันแน่นะเนี่ย ล้อเล่นนะคะ ลักษณะของชาวราศีมังกรอีกอย่างก็คือติดหรู ของขวัญสำหรับพวกเค้าอาจจะเป็นสินค้าแบรนด์เนมก็น่าจะถูกใจ แต่ก็หาคนลงขันด้วยแล้วกันนะคะ ซื้อคนเดียวระวังจะหน้ามืด ไม่มีเงินซื้อของขวัญให้ตัวเองล่ะแย่เลย อันนี้ต้องระวังค่ะ

ราศีกุมภ์ 21 มกราคม - 19 กุมภาพันธ์ชาวราศีกุมภ์เป็นคนที่ไม่ค่อยตรงเวลาสักเท่าไหร่ ลองซื้อนาฬิกาให้สิค่ะ ได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น นาฬิกาข้อมือ นาฬิกาแขวนฝาผนัง นาฬิกาตั้งพื้น และที่สำคัญที่ลืมไม่ได้ นาฬิกาปลุกนั่นเอง หรือถ้าใจดีและมีสตางค์ จะซื้อมือถือให้เลยก็ไม่ว่ากันค่ะ ได้ 2 เด้งเลย ให้นาฬิกาแล้วยังสามารถโทรจิกได้ด้วย คุ้มสุดๆ หรือถ้าไม่เป็นนาฬิกา ก็อาจจะเป็นอะไรก็ได้ที่มีลูกเล่น เพราะชาวราศีกุมภ์มีความเป็นนักวิทยาศาสตร์อยู่สูง ช่างสังเกต ชอบอะไรที่ต้องลงมือแกะนู่น ใส่นี่ ตัวอย่าง การประกอบโมเดล จิ๊กซอว์ หรืออะไรก็ได้ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี รับรองว่าถูกใจแน่นอนค่ะ

ราศีมีน 20 กุมภาพันธ์ - 20 มีนาคมชาวราศีมีนเป็นคนรักธรรมชาติ รักบ้าน ไม่ต้องบอกใช่ไหมคะว่าปีใหม่นี้จะซื้ออะไรให้เค้า แน่นอนต้องเป็นอุปกรณ์แต่งบ้านเก๋ๆ โมบาย โคมไฟ ตุ๊กตา แจกัน ฯลฯ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องดูสไตล์ของเค้าด้วยนะคะว่า หวานแหวว เรียบง่าย หรือหรูหรา จะได้เลือกซื้อได้ถูกใจค่ะ ต้นไม้ก็เป็นอีกอย่างที่เหมาะกับคนรักธรรมชาติอย่างชาวราศีมีน ยิ่งเป็นไม้มงคลด้วยยิ่งดี

ราศีเมษ 21 มีนาคม - 20 เมษายนชาวราศีเมษเป็นคนลุยๆ ชอบเที่ยวผจญภัยค่ะ อะไรที่ซื้อให้ก็ต้องเป็นอะไรที่ทะมัดทะแมง ถ้าเป็นเสื้อผ้าก็ต้องเป็นสีพื้น ทนๆ หน่อย จะได้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเค้า อีกอย่างที่แนะนำก็คืออุปกรณ์ในการท่องเที่ยวแนวลออฟโรด แอดเวนเจอร์ อุปกรณ์ตั้งแคมป์อันนี้ก็เข้าทางค่ะ ถ้าเป็นผู้หญิงก็อาจจะเน้นเป็นเสื้อผ้าแฟชั่นที่เท่ๆ อาจจะมีลายทหารเข้ามาผสมผสาน รับรองว่าเวิร์ก แล้วก็ไม่ต้องกลัวนะคะว่าจะใส่ยาก ดีไซเนอร์หลายคนเวลาอับจนหนทางคิดอะไรไม่ออก ก็จะเอาลายทหารเนี่ยล่ะค่ะมาสร้างสรรค์เสื้อผ้า เชื่อได้เลยว่าลายทหารไม่มีเอ๊าท์

ราศีพฤษภ 21 เมษายน - 19 พฤษภาคมชาวราศีพฤษภเป็นพวกอนุรักษ์นิยม และประหยัดเอามากๆ ฉะนั้นของขวัญควรจะเป็นของใช้ที่ใช้ได้นานๆ มีความคงทน หรือไม่ก็ของเก่า หรือของใหม่ที่ทำให้ดูเก่าๆ ขลังๆ น่าจะถูกใจชาวราศีพฤษภ หรือถ้านึกอะไรจะเป็นของกินก็ได้ไม่ว่ากัน ได้ทุกประเภทไม่เกี่ยง ขอให้อร่อยๆ หน่อย แค่นี้เป็นใช้ได้ ถ้าเป็นเสื้อผ้าก็ควรจะเป็นอะไรที่ใส่ได้นาน อย่างเช่นยีนส์ หรือเสื้อผ้า เครื่องประดับที่เรียบๆ เข้ากับเสื้อผ้าได้หลายๆ สี เรียกว่าตัวเดียวเอาไป mix & match ได้อีกหลายชุด โดนใจชาวราศีพฤษภแน่ๆ

ราศีเมถุน 20 พฤษภาคม - 21 มิถุนายนชาวราศีเมถุนเป็นคนที่ไม่ชอบความจำเจ คุณต้องพยายามนึกว่าเมื่อปีที่แล้วคุณซื้ออะไรให้เค้า ปีใหม่นี้ควรหาซื้ออะไรที่แตกต่างกันมากๆ จะได้สร้างความตื่นเต้น ในกรณีที่เพิ่งรู้จักกัน ซื้อของขวัญปีใหม่ให้เป็นครั้งแรก ควรจะหาอะไรที่ไม่เหมือนใคร ยิ่งถ้าเป็นของที่มีชิ้นเดียวในโลก อันนี้โดนใจสุดๆ แต่ก็ดูราคาด้วยแล้วกันค่ะ เดี๋ยวคนซื้อจะบาดเจ็บหนัก ของสวยๆ แฮนด์เมดที่ราคาไม่แพงมาก ที่คนทำเค้าทำมาชิ้นเดียวก็มีให้ซื้อนะคะ ของดีราคาถูกมีให้เลือกมากมาย จริงไหมคะ

ราศีกรกฎ 22 มิถุนายน - 22 กรกฎาคมชาวราศีกรกฎเป็นนักสะสมตัวยง ฉะนั้นถ้าจะซื้อของขวัญปีใหม่ก็น่าจะเป็นของสะสม เช่น แสตมป์ โมเดล ตุ๊กตา หรือถ้าไม่กลัวว่าเค้าจะไม่ชอบก็ต้องลงทุนไปส่องกันที่บ้านเลยว่าเค้าสะสมอะไรอยู่ จะได้ซื้อมาให้ถูกใจ ถ้าไม่เห็นว่าเค้าสะสมอะไรจริงจังก็อาจจะซื้อของเก่าก็ได้เพราะธรรมชาติของนักสะสมก็ต้องชอบความคลาสสิกอยู่แล้ว ของแต่งบ้านก็ไม่เลวนะคะ เพราะชาวราศีกรกฏรักบ้านเป็นชีวิตจิตใจ และด้วยความชอบยู่บ้านอีกหนึ่งอย่างที่อยากจะแนะนำก็คือหนังสือดีๆ สักเล่มก็คงเป็นของขวัญที่ถูกใจเช่นกัน

ราศีสิงห์ 23 กรกฎาคม - 23 สิงหาคมชาวราศีสิงห์มีความเป็นผู้นำสูง ของขวัญที่เหมาะน่าจะเป็นของที่มีดีไซน์ที่ดูหรูหรา แสดงออกถึงความมีสง่าราศี ถ้าจะซื้อของแต่งบ้านก็น่าจะเป็นไม้ เพราะเป็นอะไรที่ดูดีและคลาสสิกเสมอ แต่ถ้าจะซื้อต้นไม้ให้ ควรจะเป็นไม้ยืนต้นหรือไม้มงคล เพราะจะช่วยเสริมในเรื่องของการงานค่ะ อีกหนึ่งคุณสมบัติของชาวราศีสิงห์คือ มีความทะเยอทะยานในเรื่องงานสูง ฉะนั้นของขวัญอีกอย่างที่น่าจะตรงใจก็คือ อุปกรณ์บนโต๊ะทำงาน ต้องเลือกแบบที่เรียบและดูดี หรือจะเป็นอุปกรณ์คลายเครียดต่างๆ ก็โอเคนะคะ อาทิเครื่องนวด, ดีวีดี, วีซีดีหนังดีๆ สักเรื่อง หรือซีดีเพลงเพราะๆ สักแผ่น

ราศีกันย์ 24 สิงหาคม - 23 กันยายนชาวราศีกันย์เป็นคนรักสวยรักงาม ของขวัญที่น่าถูกใจก็คงหนีไม่พ้นของสวยๆ งามๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าและเครื่องประดับ หรือจะเป็นเรื่องของการดูแลหน้าตาและผิวพรรณ อาทิเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว อุปกรณ์การทำสปา สมุนไพรขัดผิว เป็นต้น อีกอย่างที่ลืมไม่ได้สำหรับคนรักสวยรักงามอย่างชาวราศีกันย์ก็ต้องน้ำหอม อันนี้ซื้อให้ได้ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง แต่ถ้าไม่แน่ใจเรามีวิธีเลือกน้ำหอมให้เหมาะกับคนแต่ละราศีมาบอกด้วย คลิกที่นี่ หรือถ้าจะให้ชัวร์กว่าก็ชวนกันไปเดินเล่นแถวๆ เคาน์เตอร์น้ำหอม ลองชวนดมกลิ่นนั้น ขวดนี้ เดี๋ยวก็รู้คำตอบเองค่ะ

ราศีตุลย์ 24 กันยายน - 23 ตุลาคมชาวราศีตุลย์เป็นคนน่ารัก ช่างเจรจา ของขวัญที่ต้องถูกใจแน่นอนก็คือ ของน่ารักๆ ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตา อุปกรณ์แต่งรถ หรืออะไรก็ได้ที่เป็นลายการ์ตูน แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่หน่อยก็ให้เลี่ยงลายการ์ตูนมาเป็นของที่มีสีพาสเทลก็ได้ อย่างสีฟ้า สีชมพูค่ะ อุปกรณ์ตกแต่งมือถือก็เป็นอีกอย่างที่น่าจะเหมาะกับคนพูดเก่ง อย่างชาวราศีตุลย์ เพราะพวกเค้าจะใช้โทรศัพท์บ่อย ถ้าซื้อไปให้ รับรองว่าต้องได้ใช้แน่ๆ เลือกแบบที่น่ารักๆ เข้าไว้ค่ะ

ราศีพิจิก 24 ตุลาคม - 22 พฤศจิกายนชาวราศีพิจิกเป็นคนใจร้อนอยู่สักหน่อย ลองหาอะไรก็ได้ที่จะทำให้ใจเค้าเย็นๆ สบายๆ อย่างเช่นต้นไม้ อาจจะเลือกไม้น้ำต่างๆ อย่างเช่น บัว, เฟิร์น หรือแว่นแก้ว จะพ่วงปลาตัวเล็กๆ ไปด้วยไปด้วยก็ได้ไม่ว่ากัน ถ้าเป็นของตกแต่งบ้าน ก็อาจจะเป็นภาพวาดสีน้ำที่เป็นลายธรรมชาติ น้ำตก ภูเขา ทะเล หรือจะเป็นแบบอิมเพรสชั่นนิสม์ ให้เน้นสีสบายตาเข้าไว้ อีกอย่างที่กำลังอินก็คือ หินที่นำมาร้อยเป็นสร้อยคอ สร้อยข้อมือ หรือเอามาทำเป็นแหวน ลองหาหินที่ทำให้อยู่เย็นเป็นสุข หรือจิตใจเยือกเย็น จะได้ช่วยให้เค้าใจเย็นขึ้นค่ะ

ราศีธนู 23 พฤศจิกายน - 21 ธันวาคมชาวราศีธนูเป็นคนสนุกสนาน ชอบความบันเทิงทุกรูปแบบ เป็นราศีที่เลือกของขวัญให้ได้ง่ายที่สุดก็ว่าได้ อะไรก็ได้ที่ทำให้เพลิดเพลิน ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ เพลง หนัง หรือจะเป็นของกินอร่อยๆ หรือจะจัดเซอร์ปาร์ตั้ให้อันนี้ก็เวิร์ก แต่ต้องเซอร์ไพรส์จริงๆ นะคะ เพราะชาวราศีธนูทำให้เซอร์ไพร้ส์ได้ยากค่ะ เหมือนเค้าจะมีเซ้นซ์อะไรประมาณนั้น อีกอย่างก็คือชาวราศีธนูเป็นคนรักสัตว์ แต่ถ้าคิดจะซื้อล่ะก็ ต้องหาข้อมูลดีๆ ว่าเค้าชอบสัตว์ประเภทไหน พันธุ์อะไร แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ต้องมีเวลาดูแลสัตว์เลี้ยงนะคะ ไม่งั้นล่ะจะเป็นการทำบาปเปล่าๆ ค่ะ

11ขั้นตอนการเลือกซื้อของขวัญ

เวลาปีๆ หนึ่งมันช่างผ่านไปเร็วซะเหลือเกิน นี่ก็จวนเจียนใกล้ถึงวันที่ต้องหาซื้อของขวัญกันอีกแล้ว นอกจากจะวางแผนสวีทกับคนรักแล้ว หลายคนคงต้องสาละวนกับการเตรียมของขวัญให้คนพิเศษไปพร้อมๆ กันด้วย แล้วเรื่องแบบนี้สนุกเสียเมื่อไหร่ เพื่อทำชีวิตของคุณให้ยุ่งเหยิงน้อยลง เรามีวิธีเลือกซื้อของขวัญอย่างละเอียดยิบมาฝาก ขั้นตอนที่ 1 ลองลิสต์รายชื่อบุคคลที่คุณจะซื้อของขวัญหรือการ์ดให้ในวันปีใหม่ และเรียงลำดับความสำคัญ ว่าควรให้ใครก่อนหลัง ขั้นตอนที่ 2 สำรวจเงินในกระเป๋าตัวเองก่อนว่ามีงบเท่าไรที่จะซื้อของ เพราะถ้ามีงบน้อยก็ไม่ควรซื้อของมากและราคาแพงเกินไป เดี๋ยวจะไม่เหลือเงินไปเที่ยวพักผ่อน ขั้นตอนที่ 3 เสาะหาแหล่งที่จะจับจ่ายซื้อของให้ละเอียดว่าที่ไหนราคาถูกและมีของดีมีคุณภาพ อย่าคิดแต่ว่าต้องไปซื้อหาตามห้างเสมอไป ถ้านึกไม่ออกลองคลิกดูที่ เคล็ดลับนักช็อป หน้า “ แหล่งช็อปปิ้งแสนประหยัดของผู้หญิงวันนี้” ขั้นตอนที่ 4 ควรออกไปสืบราคามาก่อนว่า ของขวัญที่คุณจะซื้อราคาประมาณเท่าไร มีขายที่ไหนบ้าง และถ้าเกิดซื้อจากแหล่งต้นทุน และซื้อทีละหลายๆ ชิ้นจะถูกกว่าหรือไม่ ขั้นตอนที่ 5 คิดไว้คร่าวๆ ว่า ใครคนไหนจะเหมาะกับของแบบไหนอย่างไร เพื่อที่ว่าถึงเวลาไปช็อปปิ้งจริงๆ จะได้ไม่สับสนว่า จะซื้อของชิ้นนี้ให้คนไหนดี ขั้นตอนที่ 6 อย่างที่รู้ๆกันคือ ใกล้ถึงปีใหม่ ห้างสรรพสินค้าชอบลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ ลองเปิดดูหน้าโฆษณาตามหน้าหนังสือพิมพ์ ว่ามีห้างไหนลดราคาบ้าง จากนั้นก็ลองไปสืบราคาและคำนวณดูว่าห้างไหนถูกที่สุด และเหมาะที่คุณจะไปช็อปหาของถูกใจให้คนใกล้ชิด ขั้นตอนที่ 7 ตามปกติถ้าคุณซื้อของขวัญในห้างสรรพสินค้า ทางห้างมักจะมีบริการห่อของขวัญให้ฟรี คิดดูแล้วของบางอย่างถ้าเลือกซื้อในห้างก็คุ้มเหมือนกัน เพราะประหยัดกว่ากันตั้งแยะ ดีกว่าคุณไปจ้างเขาห่อหรือห่อเอง เพราะไหนจะค่ากระดาษค่าริบบิ้น เสียทั้งเงินและเวลา หนำซ้ำถ้าห่อไม่สวยอายเขาเปล่าๆ ขั้นตอนที่ 8 อย่าซื้อสินค้าหรือของขวัญที่เพียงแค่มองผ่านชั่ววูบ เพราะแค่วูบที่เห็นแค่สวยผ่านๆ อาจจะทำให้คุณเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ได้ ขั้นตอนที่ 9 ซื้อของอย่าลืมกฎเหล็ก ต่อรองราคาไว้เถิดจะเกิดผล เพราะเศรษฐกิจยุคนี้ทำให้คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น ร้านค้าอาจจะตั้งราคาเกินจริง เราก็ควรต่อรองเพื่อช่วยเซฟเงินในกระเป๋าตัวเอง ขั้นตอนที่ 10 แต่การซื้อของจากแหล่งอื่นๆ ที่ไม่ใช่ห้างสรรพสินค้า อาจถูกก็จริงแต่ต้องดูให้ละเอียด เพราะบางชิ้นอาจมีตำหนิและไม่มีใบประกัน ซึ่งบางเจ้าเราไม่สามรรถขอเปลี่ยนหรือคืนได้เลย ขั้นตอนที่ 11 สำหรับคนที่งบน้อยจริงๆ อาจจะลองทำการ์ดเก๋ๆ ด้วยตัวคุณเองแล้วส่งให้คนที่คุณอยากซื้อของขวัญให้หรือส่งเป็น e-card ไปก็ได้ เพราะบางครั้งของแบบนี้อาจมีค่าทางใจมากกว่าของขวัญราคาแพงซะอีก เชื่อว่าการ์ดใบเดียวไม่ยากเกินความสามารถของคุณ ที่มา http://gift.blog.mthai.com/2008/03/11/public-1

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

อาหารที่ทำให้ดูสวย

ใครที่อยากสวยด้วยการทานอาหาร วันนี้เรามีอาหารมาให้เลือกทานเพื่อความสวยมาบอก
1.กล้วย ช่วยบำรุงเส้นผม ผมร่วง ผมบาง ต้องกินกล้วย เพราะอุดมด้วยวิตามินบีซึ่งช่วยบำรุงผมและป้องกันผมร่วงได้ดี ทั้งยังเป็นแหล่งรวมของโพแทสเซียม ช่วยเรื่องระบบย่อยอาหารและลดอาการท้องผูก
2.นม ช่วยบำรุงฟันและกระดูกสารอาหารสำคัญในการสร้างกระดูกก็คือแคลเซียม ซึ่งพบได้มากในนม แถมยังเป็นแคลเซียมที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ดีกว่าแหล่งอื่นๆ
3.ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ช่วยบำรุงสายตาผลงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุว่า แอนโทไซยานิน ซึ่งเป็นสารเม็ดสีในเบอร์รี่ช่วยให้มองเห็นชัดในที่มืด หรือที่ที่มีแสงสลัวๆ ได้ชัดเจนขึ้น และช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับเลนส์ตาและเส้นเลือดฝอยในลูกตา
4.อะโวคาโด ช่วยบำรุงใบหน้าแม้เป็นผลไม้ที่มีไขมันสูง แต่เป็นกรดไขมันโอเมก้า 9 ที่มีประโยชน์ ที่สำคัญวิตามินบีและอีในอะโวคาโดสามารถช่วยบำรุงผิว ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ และปกป้องผิวจากรังสีต่างๆ ในแสงแดด
5.กะหล่ำปลี ช่วยบำรุงทรวงอก งานวิจัยของสมาคมเพื่อการวิจัยมะเร็งของสหรัฐ พบว่า ผู้หญิงโปแลนด์ที่กินกะหล่ำปลีทั้งสดและดอง อย่างน้อยสัปดาห์ละ 4 ครั้ง มีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมลดลงถึง 75%
6.พริกหยวก ช่วยบำรุงเล็บ พริกหวานหลากสีสันล้วนอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและกระตุ้นการเผาผลาญให้กับร่างกาย นอกจากนี้น้ำฉ่ำๆ จากพริกหยวกยังช่วยให้สุขภาพเล็บแข็งแรง รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากสวย หุ่นดี ควรเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์จะดีกว่า.
ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

กินบะหมี่สำเร็จรูปมากไปเสี่ยงความดัน

อาหารสำเร็จรูปอย่าง บะหมี่ กินง่ายก็จริง แต่ถ้าได้รับมากไปอาจเสี่ยงเป็นโรคความดัน เพราะจากการศึกษาของสถาบันวิจัยโภชนา มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ส่วนประกอบของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกว่า 60-70% เป็นแป้งสาลี รองลงมาคือ ไขมันในเครื่องปรุงรส 15-20 % เกลือและผงชูรสอีก 5-6% หากรับประทานมากกว่า 1 ซองหรือ 1 ถ้วยต่อวัน จะทำให้ร่างกายได้รับปริมาณโซเดียมเกินความต้องการของร่างกาย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานของไต และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง ฉะนั้น ควรเลือกซื้อบะหมี่สำเร็จรูปที่บนฉลากระบุว่า เติมสารไอโอดีน ธาตุเหล็ก และวิตามินเอ เวลารับประทานควรเติมไข่ เนื้อสัตว์ และผักลงไปทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับโซเดียมและไขมันมากเกินไป
ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์